วันจันทร์ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

ปฏิรูปการศึกษาไทย(ในทรรศนะของข้าพเจ้า) นานเท่าใดก็ไม่เปลี่ยนแปลงถ้ายังไม่เปลี่ยนความคิด

การศึกษาไทยถ้านับตั้งแต่เริ่มต้นของการจัดการศึกษาสมัยโบราณ พ.ศ. 1781 จนถึงปัจจุบันนับว่าการศึกษาของไทยได้มีการพัฒนาไปตามยุคสมัยโดยมีกรอบของความเจริญทางด้านวัตถุและวัฒนาการของการพัฒนาประเทศมาบีบบังคับการศึกษา ไม่ว่าจะเป็นแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติที่ได้ให้ความสำคัญกับปัญหาด้านการศึกษา และการเปลี่ยนระบบการศึกษาของไทยในช่วงยี่สิบปีที่ผ่านมานั้นนับว่าการศึกษาไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือของนักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ ซึ่งเมื่อรัฐบาลเปลี่ยน นโยบายทางด้านการศึกษาก็เปลี่ยนทำให้ครูและนักเรียนต้องแบกรับภาระอันหนักอึ้งในการศึกษาเพื่อสนองนโยบายของฝ่ายการเมืองที่เข้ามาจัดการด้านการศึกษา จนทำให้ประชาชนเกิดความเบื่อหน่ายทางการศึกษาและให้ความสำคัญกับการศึกษาน้อยลง การพยายามหาวิธีการต่างๆและนโยบายต่างๆมาจัดระบบการศึกษาของไทยในปัจจุบันใช่ว่าจะทำให้ระบบการศึกษาและคุณภาพการศึกษาของไทยพัฒนาขึ้นเมื่อเทียบกับประเทศในภูมิภาคเดียวกัน ทั้งที่ประเทศไทยเองมีทรัพยากรที่มีความรู้ความสามารถเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะมีสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงอยู่มากมาย มีบุคคลากรทางการศึกษาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญอยู่มากมาย มีสถาบันรับรองคุณภาพการศึกษาเพื่อการันตีเอาไว้ว่าสถาบันการศึกษาแต่ละแห่งได้รับการประเมินคุณภาพทางการศึกษาเอาไว้ ทำให้มั่นใจได้ว่าลูกหลานที่เข้าไปศึกษาในสถาบันเหล่านี้จะได้รับการศึกษาที่เป็นเลิศ แต่หากมองลงไปมองดูด้วยใจที่เป็นกลางแล้วจะเห็นว่าก่อนที่จะมีการประเมินสถานศึกษา ไม่ว่าจะเป็นในระดับใดก็ตาม ตั้งแต่เด็กที่เพิ่งเริ่มเดินได้ จนถึงผู้ใหญ่ที่มีความรู้ความสามารถ ก่อนที่สถาบันที่ได้รับการรับรองคุณภาพจะเข้าไปทำการประเมิน สภาพแวดล้อมของสถาบันการศึกษาก่อนประเมินกับตอนประเมินนั้นช่างต่างกันเหลือเกิน จากสภาพห้องเรียน ห้องทำงานของครู ห้องสมุด ห้องสารพัดห้อง ไม่เว้นแต่ห้องน้ำ จากที่เคยเละเทะจนะแทบจะเรียกว่านรก จะถูกเนรมิตให้กลายเป็นสวรรค์ภายในเวลาไม่นานก่อนที่คณะกรรมการจะเข้ามาประเมินสถานศึกษานั้นๆ เมื่อมองดูการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นที่ตัวของบุคคลอันได้แก่เด็กนักเรียน นักศึกษา ครูผู้สอน และฝ่ายสนับสนุการสอนแล้ว การศึกษาไทยได้รับงบประมาณค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับคุณภาพของการศึกษาที่ได้รับ(โดยการวัดจากประสิทธิภาพของผู้สำเร็จการศึกษา) การศึกษาไทยจัดให้เด็กได้มีการเรียนให้ห้องเรียน ไม่ว่าจะเป็นวิชา วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ศิลปะศึกษา สังคมศึกษา ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย วิชาอื่นๆที่ทางสถานศึกษาจะจัดให้เด็กได้มีการเรียนเพื่อที่จะสนองความต้องการที่จะศึกษาของเด็กตามพรบ.การศึกษากำหนดไว้ แต่ผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษาของเด็กกลับลดลงเมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานที่ส่วนกลางได้กำหนดเอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา ซึ่งเป็นวิชาหลักที่จัดให้เด็กได้เรียน มาถึงตรงนี้เรามองเห็นอะไรบ้างในการจัดการศึกษาของไทยเรา ทุกครั้่งที่มีการได้รับรางวัลจากการแข่งขันทางด้านวิชาการระดับประเทศ และระดับนานาชาติ ซึ่งมองดูแล้วเสมือนว่าการจัดการศึกษาของบ้านเรานั้นจัดได้ดีมาก แต่สภาพความเป็นจริงแล้วหาใช่เช่นนั้นไม่ หากแต่ว่าการศึกษาของเรานั้นล้มเหลวจนถึงขั้นต้องมีการปฎิรูปการศึกษาอย่างยิ่งใหญ่เลยทีเดียว ทั้งปฎิรูปการศึกษาระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศึกษา และระดับอุดมศึกษาให้สอดคล้องเป็นแนวทางเดียวกัน ดังจะยกตัวอย่างเอาไว้เป็นข้อสังเกตคือ ตัวอย่างที่ 1 มีเด็กชายคนหนึ่งเขามีความสนใจด้านภาษาไทยเป็นอย่างมากจนถึงขนาดที่ทำการสอบ การอ่าน การเขียน การพูด ได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาได้รับผลการเรียนในวิชาภาษาไทย เกิน 80% แต่ในทางกลับกันเด็กชายคนเดียวกันนี้กลับมีผลการเรียนในรายวิชาคณิตศาสตร์ที่แย่มาก คือไม่ถึง 50% นั่นก็หมายความว่าเด็กชายคนนี้ผ่านวิชาภาษาไทยแต่กลับตกในรายวิชาคณิตศาสตร์ การศึกษาไทยในบัจจุบันได้ให้ครูผู้สอนในรายวิชาคณิตศาสตร์สอนเสริมให้กับเด็กชายรายที่กล่าวมาแล้วนั้นทำให้ครูต้องหาวิธีการต่างๆเพื่อที่จะทำให้เด็กคนนี้เรียนได้ผลการเรียนที่ดีขึ้นให้ได้ จนสุดท้ายเด็กชายคนนี้ืเรียนผ่านเกณฑ์ 50%  ตัวอย่างที่ 2 เด็กหญิงคนหนึ่งเรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายวิทยาศาสตร์ - คณิตศาสตร์ โดยมีความหวังว่าเมื่อจบมัธยมศึกษาตอนปลายแล้วจะเข้าสอบในสถาบันอุดมศึกษาในสาขาแพทยศาสตร์ โดยเขาตั้้งใจเรียนทั้งวิชาที่เป็นพื้นฐาน เช่น ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา คณิตศาสตร์ ภาษาอังกฤษ์ ภาษาไทย สังคมศึกษา ศิลปะ  เด็กหญิงคนนี้ต้องแบกรับภาระในการเรียนทุกรายวิชาเพื่อนำผลการเรียนที่ได้และความรู้ที่ได้ไปใช้ในการสมัครและสอบในคณะแพทยศาสตร์ ซึ่งเมื่อเด็กหญิงคนนี้สอบได้คณะแพทยศาสตร์ดังที่ตั้งใจเอาไว้กลับพบว่า วิชาบางวิชาที่เขาตั้งใจร่ำเรียนมาตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายนั้นไม่ได้นำความรู้มาใช้ในการเรียนแพทย์ของเขาเลย วิชาฟิสิกส์ถูกกำหนดให้เรียนเพียงแค่เทอมที่ 1 ของปีที่ 1 หลังจากนั้นไม่ใด้เรียนหรือนำความรู้ไปใช้เลย กลับเป็นวิชาเคมี วิชาชีววิทยา วิชาภาษาอังกฤษ วิชาคณิตศาสตร์ ที่มีความสำคัญกับการเรียนเพื่อนำความรู้ไปประกอบอาชีพแพทย์ที่ตนเองเลือกเอาไว้ จากตัวอย่างที่ 1 ในทรรศนะส่วนตัวมองไว้ว่า เราควรส่งเสริมความสามารถของเด็กที่มีอยู่แล้วให้เขามีความชำนาญจนเกิดความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาที่เขาถนัด จะทำให้เขาเกิดความภาคภูมิใจและประเทศไทยจะได้มีผู้ที่มีความรู้ความสามารถเฉพาะทางที่มากขึ้นเพื่อพัฒนาประเทศของเราต่อไป และจากตัวอย่างที่ 2 ในทรรศนะส่วนตัวมองไว้ว่าการจัดการศึกษาในระดับมัธยมศึกษานั้นควรจัดการศึกษาให้เด็กเกิดการค้นพบความเป็นตัวตนของเด็กให้ได้มากที่สุดยกตัวอย่างเช่น ถ้าใครมีความสนใจในวิชาชีพใดควรให้เด็กได้เรียนเน้นหนักไปในทิศทางของวิชาที่จำเป็นต้องใช้ในการประกอบอาชีพสาขานั้นๆ ส่วนวิชาใดที่ไม่มีความจำเป็นกับสาขาอาชีพที่ตนเองสนใจก็ควรกำหนดไว้ให้เป็นวิชาที่เลือกเรียนหรือกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น และควรกำหนดนโยบายการศึกษาร่วมกันระหว่างสำนักงานการศึกษาขั้นพื้นฐาน และสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาในทิศทางการจัดการเรียนการสอนที่มีความสอดคล้องกัน เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้มีประสิทธิภาพและมีศักยภาพมากที่สุด ถึงเวลาแล้วที่เราควรเปลี่ยนแปลงความคิดของเราเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นสำหรับการศึกษาไทย สำหรับลูกหลานของไทย และการพัฒนาประเทศไทยที่เรารักยิ่งสืบไป
                                   
                                                                                              นายทศพร ถาอ้าย
                                                                             ค.บ.ฟิสิกส์ , ศน.ม.พุทธศาสนาและปรัชญา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น