วันศุกร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

"The Prince" by Niccolo Machiavelli. "เจ้า" งานเขียนของ นิโคโล แมคเคียเวลลี่


คำนำ


 

                เจ้า(The Prince)  เป็นงานเขียนของ นิโคโล แมคเคียเวลลี่(Niccolo Machiavelli) ต้นฉบับเป็นภาษาอิตาลี แปลเป็นภาษาไทยโดย พิชิต จงสถิตย์วัฒนา และคณะ ในปี 2524 จัดเป็นหนังสือคลาสิคเล่มหนึ่งที่ถูกแปลเป็นภาษาอื่นมากมายและถูกใช้เป็นบทเรียนทางรัฐศาสตร์  เจ้า เคยถูกเป็นหนังสือต้องห้ามและให้เผาทิ้งในศตวรรษที่16 และในฝรั่งเศสในปี1576 เป็นงานเขียนทางการเมืองการปกครองที่มีประวัติศาสตร์ของโรมในยุคฟื้นฟู เป็นการเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญหลังจากยุคมืด แมคเคียเวลลี่เป็นนักปรัชญาคนแรกของอิตาลี ที่กล้านำความคิดทางการเมืองออกจากการปกครองของศาสนจักร เป็นงานเขียนที่เปิดเผยความเป็นจริงของมนุษย์ที่ตรงไปตรงมา และใช้ความรุนแรงทางอำนาจ การอ่านงานเขียนจะสนุกมากขึ้นถ้าท่านมีความรู้ทางประวัติศาสตร์ในยุคกรีก โรมัน ยุคกลาง จนถึงยุคฟื้นฟู ผู้อ่านจะเห็นกระแสของความคิดทางการเมืองอย่างต่อเนื่องและเข้าใจในตัวตนของแมคเคียเวลลี่รวมถึงเข้าใจในความคิดงานเขียนของเขามากขึ้น

                งานฉบับนี้แบ่งเป็น 3ภาค ภาคแรกเป็นการเกริ่นนำและกล่าวถึงประวัติชีวิตของแมคเคียเวลลี่ ภาคที่ 2 เป็นเนื้อหาของหนังสือในภาพรวม ภาคที่ 3 เป็นการสรุปใจความงานเขียนแต่ละบททั้งหมด 26 บท และวิจารณ์หนังสือ

                เจ้า เป็นงานเขียนชิ้นสำคัญต่อแมคเคียเวลลี่เป็นงานที่เขาหวังว่าผู้ที่ได้รับจะพอใจงานเขียนที่ใช้ประสบการณ์ 15 ปี ของเขาเพื่อเป็นความรู้ในการปกครอง ผู้รับกลับมองข้ามไป แต่งานเขียนของเขากลับมีชีวิตอยู่ ถ้าท่านได้อ่านก็คงเข้าใจว่า การใช้อำนาจมันมีอยู่เสมอในโลกของมนุษย์เรา จะมีกี่คนที่จะกล้าพูดความจริงอย่างแมคเคียเวลลี่   ถ้าเราอ่านเจ้าอย่างเข้าใจในมุมมองหนึ่งเราก็จะได้ประโยชน์จากเจ้าคุณค่าที่ผู้อ่านจะได้รับก็คือจากการวิเคราะห์ประวัติศาสตร์กับการเมืองพบว่าการเป็นผู้ใช้อำนาจแบบเรุนแรงด็ดขาด การรักษามันไว้นั้นมันมีทุกข์อยู่มากมายเหลือเกิน


บทนำ


ยุคของรัฐปรัชญา


สมัยกรีก (Greek)

สมัยโรมัน (Roman)

สมัยยุคกลาง (Middle Ages) .. 5-..12    === (นิคโคโล แมคเคียเวลลี่  มีชีวิตอยู่ในช่วงนี้)

สมัยยุคฟื้นฟู (The Renaissance) .. 14-16

สมัยใหม่      (The Modern Period)  

                ยุคกรีก เป็นยุคที่มีนักปรัชญามีชื่อเสียงมากที่สุด ได้แก่ พลาโต อริสโตเติล กลุ่มสโตอิกส์

สเคปติกส์,เอพิคิวเรียนส์   ฯลฯ       ยุคกรีก เมืองจัดเป็นนครรัฐ (City State)

                ยุคโรมัน  เมืองจัดเป็นจักกรวรรดิ  (Empire State)    นครรัฐประชาธิปไตย(Democratic City State)จึงกลายเป็นรัฐประชาธิปไตย   โรมันนำความคิดของกรีกมาใช้เป็นแบบ กรีกเสนอแนวคิดเรื่องเสรีภาพ และประชาธิปไตย(Democracy) โรมัน เสนอกฎวินัย(Discipline)   และ ระเบียบกฎหมาย

                ยุคกลาง เป็นยุคที่ ศาสนจักรในโรม(อิตาลี)มีอำนาจ มีสงคราม  เป็นยุคมืด ของนักปรัชญา

                ยุคฟื้นฟู  เป็นยุคที่เรี่ยกว่า ยุคสว่างทางปัญญา ยุโรปเฟื่องฟูทางด้านศิลปะ วิทยาศาสตร์ฯลฯ อำนาจของศาสนจักรเปลี่ยนไป   กษัต่ริย์มีอำนาจมากกว่าขุนนางศักดินา กษัตริย์ทำนุบำรุงกองทัพให้เข้มแข็งกว่ากองทัพของขุนนาง ยุคนื้เป็นยุคทอง

                ยุคนี้ ได้มีการปฏิรูปครั้งสำคัญ โดยให้ศาสนจักรอยู่ใต้การคุ้มครองของกษัตริย์ สร้างดุลยภาพใหม่ ระหว่างฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักร โดยนักปรัชญาชื่อ นิโคโล  แมคเคียเวลลี่  ( Niccolo Machiawelli)เป็นผู้ริเริ่มแยกเมืองออกจากศาสนา ยุคนี้ถือเอาเอกภาพของชาติ ความมั่นคงของรัฐและผลประโยชน์ของประเทศอยู่เหนือความเคารพเชื่อถือของพระสันตะปาปา การทำงานไม่แทรกแซงกัน

แมคเคียเวลลี่ (อายุ 58ปี ค..1469-1527 หรือ พ..2012-2070))

                นักสัจนิยม คนแรกของอิตาลี  เกิดที่เมืองฟลอเรนซ์  (Florence)ประเทศอิตาลี ซึ่งเป็นเมืองค้าขายที่มีชื่อเสียง  ทำงานเป็นเลขาฝ่ายการฑูต ในสมัยที่ตระกูล เดอ เมดิซี (De Medici)มีอำนาจต่อมารัฐบาลที่เขาสังกัดอยู่ได้ย้ายตระกูลนี้ออกไปจากฟรอเรนซ์ ภายหลังกระกูลนี้นำกองทัพสเปนมาตีเมืองฟรอเรนซ์และขับไล่รัฐบาลของแมคเคียวเวลลีออกไป ตัวเขาถูกจับเข้าคุกฐานมีรายชื่ออยูในกลุ่มกบฏ ต่อมาถูกปล่อยโดยไม่มีสิทธิเล่นการเมืองได้อีก เขาได้อำลาชีวิตราชการไปใช้ชีวิตในชนบท ปี1513 เขาได้เขียน เจ้า” (The Prince) ต่อมาเขามอบให้ผู้มีอำนาจเป็นผู้ปกครองคนใหม่คือ ลอเร็นโซ เดอ เมดิดซี  เพราะหวังว่าเขาจะได้กลับมาทำงานอีกครั้งในการเป็นที่ปรึกษาเจ้าแต่แมคเคียเวลลี่ป่วยและเสียชีวิตระหว่างเดินทางไปฟรอเรนซ์ในวันที่ 22มิถุนายน 1527ก่อนที่จะรู้ว่าหนังสือของเขาไม่ได้รับความสนใจ และตำแหน่งที่เขาอยากได้ก็เป็นของผู้อื่น ไปเสียแล้ว แต่งานของเขาได้เผยแพร่อย่างลับๆ ในปีนั้นเอง

                เจ้าเป็นที่นิยมอ่านมากในสมัยมุสโสลินี เป็นนักเรียนก็เลือกหนังสือเล่มนี้มาวิจารณ์เป็นวิทยานิพนธ์ ปริญญาเอก แม้ฮิตเลอร์ก็ชื่นชอบหนังสือเล่มนี้เช่นกัน  รวมถึงสตาลินและเลนิน ก็อ่านและเจ้าก็แพร่หลาย อย่างมากในศตวรรษที่16

ความคิดของแมคเคียเวลลี และสาระสำคัญของ เจ้า


************เแมคเคียเวลลี่มุ่งมั่นที่จะแก้ป็ญหาของอิตาลีในขณะนั้นโดยต้องการจะรวมอิตาลีให้เป็นรัฐเดียวกันให้ได้ ( อิตาลีแตกแยกเป็น6แคว้น) ดังนั้นงานเขียนของเขาจึงสะท้อนให้ เจ้า ใช้อำนาจอย่างอิสระ เพื่อให้รัฐอยู่รอด เขาเห็นว่าอิตาลีมีระบบการปกครองแบบสมบูรณาญสิทธิราชหรือการปกครองที่ผู้เดียวมีอำนาจสูงสุดในรัฐเป็นการปกครองที่ดีที่สุด    การแตกแยกของอิตาลีเป็นเพราะศาสนจักรหรือสันตะปาปา                                                                           

***********แมคเคียเวลลี่จัดรูปแบบการปกครองตามแบบของอริสโตเติล เพียงแต่นำมาดัดแปลง รูปแบบการปกครอง มี๓ รูปแบบ คือ  กษัตริยาธิปไตย อภิชนาธิปไตย ประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญโดยชอบธรรม แมคเคียเวลลี่ก็คิดเห็นเหมือนโพลิบิอุส กับซิเซโร(เป็นนักปรัชญาสมัยโรมันที่เชื่อในปรัชญาของอริสโตเติล ที่ยอมรับการผสมผสานกันของรูปแบบการปกครองแล้วจะได้รูปแบบการปกครองที่ดีที่สุด ) แม้แมคเคียเวลลี่จะยอมรับความคิดของอริสโตเติล ซึ่งเป็นศิษย์ของเพลโตแต่เขาไม่ยอมรับความคิดส่วนที่เป็นอุดมคติ ความดีงาม เรื่องที่เป็นนามธรรม ความสูงส่งทางจิตใจ เขามองแต่ส่วนที่นำมาปฏิบัติทางรูปธรรมที่เห็นผลเท่านั้น

แมคเคียเวลลี่เป็นคนแรกที่เสนอให้มีกองทหารเกณฑ์ประจำการ(Regular Army)ไว้ป้องกันประเทศ ซึ่งใช้กันอยู่ทุกวันนี้ นอกจากนี้เขายังระบุว่าปัญหาสำคัญในการปกครองอีกประการหนึ่งคือ การเลือกเจ้าหน้าที่และที่ปรึกษา ซึ่งเจ้าต้องระลึกอยู่เสมอว่าต้องให้รางวัลแก่ผู้ทำงานดีแต่ต้องระวังการแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตัวเองมากกว่าและชอบประจบสอพลอ

สาระสำคัญของ เจ้า


                .  แมคเคียเวลลี่มองที่เป้าหมาย (End) มากกว่าวิธี(Means)การ เขาเป็นคนที่คิดว่าควรจะได้มาในสิ่งที่ต้องการไม่ว่าโดยวิธีใดก็ตาม ไม่ต้องคำนึงถึงศีลธรรม

                .  การเมืองของรัฐต้องมีอำนาจและแยกออกจากศาสนา สันตะปาปา มีอำนาจในการศาสนาเท่านั้น ไม่มีส่วนในการปกครอง การทำงานแยกกันอย่างเด็ดขาด

                .  นักการปกครองไม่จำเป็นต้องเป็นคนดี ไม่จำเป็นต้องรักษาคำพูด ทุกอย่างอยู่ที่ผลประโยชน์แต่ต้องแสดงตนว่าเป็นผู้มีคุณธรรม กล้าหาญ สง่างาม พรางตนเองให้ดูดีเสมอ  เขาเป็นนักสัจนิยมที่อยู่กับความจริงของมนุษย์ เขากล่าวว่า เรามีชีวิตอยู่อย่างไรนั้น สำคัญกว่าที่เราควรจะมีชีวิตอยู่อย่างไร(How we live is more importance than now we ought to live) แต่งานเขียนของเขาทำให้เห็นว่าสิ่งที่เห็นและเป็นจริงของเจ้ามันต่างกัน

.  ผู้ปกครองต้องฉับไว ในโอกาสที่เอื้อผลประโยชน์ คือเป็นผู้ที่ไม่รอคอยการลิขิต แมคเคียเวลลี่บอกว่า โชคชะตาเป็นเพียงครึ่งเดียว อีกครึ่งหนึ่งคือเจ้าต้องลิขิตเอง คือเป็นนักฉวยโอกาสที่ฉลาด

                .  เป็นนักชาตินิยมอย่างรุนแรง(เจ้าผู้ปกครองใหม่ต้องฆ่าเจ้าเก่าให้หมดสิ้นก่อนเสมอ ให้เหลือแต่พวกตนไว้) ทุกอย่างเพื่อรัฐต้องสูงสุดก่อน ปัจเจกบุคคล

                .  เจ้าต้องฉลาดที่จะเลือกที่ปรึกษาและฉลาดที่จะถาม เพื่อพิจารณาตัดสินใจเอง หลีกเลี่ยงการประจบสอพลอ

                .  งานเขียนของแมคเคียเวลลี่เป็นการนำประวัติศาสตร์ที่เขาเห็นมาวิเคราะห์กับการเมือง กฎต่างๆ บางครั้งเขาเขียนให้เจ้าเลือกที่จะหาวิธีที่เหมาะสมเองโดยปรับให้เข้ากับเหตุการณ์ และขึ้นกับภูมิของผู้อ่านเองด้วย

                .  ภาษาที่ใช้ในงานเขียนมีบางครั้งความไม่ชัดเจนอยู่บ้าง เพราะแมคเคียเวลลี่ความฉลาดในการหลีกเลี่ยงการใช้ความหมายที่ตรงเกินไป และเขารู้ว่าผู้อ่านอยู่ในระดับที่สูงกว่า ตามวิธีการของฑูต

                .  การใช้อำนาจเป็นสิ่งที่เด็ดขาดและได้ผลมากที่สุด การใช้อำนาจย่อมทำให้เกิดความกลัว เพื่ออำนาจบรรลุผลในการปกครอง

                ๑๐.  แมคเคียเวลลี่กล่าวถึงคำว่าคุณธรรม ความโอบอ้อมอารี แต่การใช้ในงานเขียนเขาพยายามบอกว่า ศีลธรรมของนักปกครองเป็นสิ่งที่เจ้าทำอะไรก็ได้ไม่ผิด ซึ่งต่างจากความหมายของศีลธรรมที่แท้จริงโดยทั่วไป 

************************************


 

บทที่ 1

รัฐมีกี่ชนิดแบะวิธีได้รัฐมา


แมคเคียเวลลี่ ได้อธิบายว่า ชนิดของรัฐ และการได้มา สรุปเขียนแผนผังได้ดังนี้ 

 

รัฐ (States Dominions)

 

มหาชนรัฐ (Repubblics)                                                                        โดยเจ้าผู้ปกครอง(Principates)



 


รัฐสืบตระกูล ( Hereditary)                                                         รัฐใหม่( New)



 


รัฐใหม่ล้วน(Completely New)                     รัฐใหม่ถูกผนวก (Member to hereditary)



 


ก่อนถูกผนวก      เคยอยู่ใต้เจ้าผู้ปกครอง( Under Prince)                                       เคยอิสระ (Free)



 


ได้มา   - โดยกำลังของผู้อื่น(Other’s arms)            - โดยกำลังของตนเอง(One’ own arm)

                  

                 -โดยโชคชะตา (Fortune)                         -  โดยคุณธรรม (Virtue)

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

บทที่ 2


รัฐสืบตระกูล

            แมคเคียเวลลี่อ้างถึงงานเขียน The Discourses เมื่อกล่าวถึงรูปสาธารณรัฐ  ต่อจากนั้นกล่าวถึงรัฐที่มีการสืบตระกุล โดยเชื้อสายเดียวกั่น จึงเป็นที่คุ้นเคยของประชาชน การปกครองก็เพียงธำรงรูปการปกครองแบบเดิมไว้เท่านั้น ยกเว้นจะมีอำนาจพิเศษมากมายมาไล่ผู้ปกครองออกจากดินแดนเท่านั้น

            คำว่าอำนาจพิเศษ น่าจะหมายถึง การถูกกำลังศัตรูโค่นหรือแย่งชิงอำนาจ,ทรัพย์,ลูกเมีย เขาสรุปว่า ถ้าผู้ปกครองนั้นมิได้มีความชั่วร้ายผิดธรรมดา ประชาชนก็จะจงรักภักดีผู้ปกครองนั้นเองโดยธรรมชาติ (หมายถึงโดยการสืบทอดสายเลือดของเจ้านั้น) และความถาวรในการปกครองก็จะมั่นคง ความคิดและเหตุผลในการคิดที่จะเปลี่ยนแปลงก็หมดไป

            คำคม การเปลี่ยนแปลงหนึ่งย่อมเป็นแบบอย่างสำหรับการเปลี่ยนแปลงครั้งต่อไป      

********************

 

บทที่ 3


ว่าด้วยรัฐโดยเจ้าผู้ปกครองซึ่งเป็นรัฐผสม


            รัฐผสมเป็นรัฐที่นำมารวามเข้าด้วยกัน การปกครองช่วงแรกจะยากลำบาก เพราะ


2        เจ้าผู้ปกครองใหม่จำเป็นต้องกำจัดผู้ปกครองเดิม เท่าสร้างความเป็นศัตรูกับผู้ภักดีเจ้านายเดิม และเป็นการใช้อำนาจข่มเหง


4        ถ้าหากภาษา ประเพณี กฎหมาย ต่างกัน ความยุ่งยากจะมากขึ้น วิธีที่ดีที่สุดคือ การที่     ผู้ปกครองเข้าไปอยู่ที่ดินแดนนั้น เพื่อดูแลปัญหาและแก้ไขปัญหาได้ทันท่วงที

5        การสร้างอาณานิคมขึ้นในที่ที่เหมาะสมโดยไม่ต้องมีกองทหารรักษาการณ์ เป็นวิธีที่ดี     ที่สุด, ประหยัด   และประโยชน์ที่ได้คือ  การช่วยเหลือพวกที่กระจัดกระจายและยากจนเป็นการสร้างความจงรักภักดี แต่ไม่เพิ่มพูนอำนาจให้ และปราบปรามพวกที่เข้มแข็งอีกทั้งไม่ยอมให้มีผู้นำต่างชาติที่มีแสนยานุภาพเข้ามาในดินแดน เป็นการเห็นอันตรายในอนาคต และตัดไฟแต่ต้นลม

มนุษย์จะแก้แค้นเมื่อถูกทำลายเพียงเล็กน้อย แต่จะไม่สามรถแก้แค้นได้สำหรับการ     ทำร้ายที่ยิ่งใหญ่

ใครก็ตามที่ทำให้ผู้อื่นมีอำนาจมากเป็นผู้ทำลายตัวเอง เพราะอำนาจไม่เกิดขึ้นโดยความสามารถก็โดยกำลัง ซึ่งทั้งสองสิ่งนั้นย่อมเป็นที่ไม่ไว้ใจของผู้มีอำนาจขึ้นมา

********************

 

บทที่ 4

ทำไมอาณาจักรของดาริอุส ซึ่งถูกพิชิตโดย  อเล็กซานเดอร์  จึงไม่คิดกบฎต่อผู้สืบต่อเมื่อ อเล็กซานเดอร์ตายแล้ว

 

            เมื่อพระเจ้าอล็กซานเดอร์ยึดอาณาจักรของดาริอุส (มีการปกครองแบบเตอรกี) อเล็กซานเดอร์ก็ฆ่าพระเจ้าดาริอุสตาย แล้วจึงครอบครองอาณาจักรได้อย่างมั่นคง เพราะในดินแดนนั้นไม่มีความวุ่นวายอยู่ก่อนแล้ว

            ในสเปน ฝรั่งเศส กรีซ ประเทศเหล่านี้มีอาณาจักรย่อย ที่มีความทรงจำในการปกครองเดิม ชาวโรมันจึงปกครองดินแดนเหล่านี้ยาก มีการกบฎหลายครั้ง 

            สรุป  การปกครองอาณาจักรที่ยึดได้ยากหรือง่ายนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความเก่งกาจของผู้ยึดครองเพียงอย่างเดียว แต่อยู่ที่ธรรมชาติความแตกต่างของประชาชนเป็นสำคัญ

**********************

 

บทที่ 5

จะปกครองเมืองหรือรัฐที่มีกฎหมายของตัวเองมาก่อน ถูกครอบครองได้อย่างไร

 

            เมื่อรัฐที่ได้มาใหม่ ดังกล่าวแล้วในบทที่ 1,3 ค้นเคยกับวิถีชีวิตและกฎหมาย และมีชีวิตอย่างเสรี  เจ้ามีวิธีดำเนินงานเพื่อการครอบครอง 3 แบบ คือ

1        ทำให้มันพินาศ

2        การไปพำนักอาศัยอยู่ที่นั่นด้วยตนเอง

3        โดยเก็บเครื่องบรรณาการ และจัดตั้งรัฐให้พลเมืองนั้นเพียงไม่กี่คนดูแล บุคคลนั้นย่อมต้องเป็นมิตรกับท่าน ปล่อยอิสระให้พวกเขาอยู่ภายใต้กฎหมายของเขาเอง

ตัวอย่าง สปาตาร์(Spartans)ปกครองเอเธนส์และธีบีส(Thebes)  โดยการตั้ง

ขุนนางในดินแดนนั้นปกครอง

            ตัวอย่างการยึดครองด้วยการทำให้พินาศ เช่นการรักษาอำนาจของชาวโรมันต้องทำลายเมืองหลายเมืองในกรีซ  เพราะวิธีนี้ทำให้เกิดความแน่ใจว่าจะไม่มีกำลังก่อการกบฎอีก คาปัว (Capua) คาร์เธจ(Carthage) และนูแมนเชีย(Numantia) ก็ถูกโรมันทำลายเช่นกัน แล้วครอบครองได้ถาวรตลอดมา

            เพราะมนุษย์จะแก้แค้นเมื่อถูกทำร้ายเพียงเล็กน้อยแต่จะไม่สามารถแก้แค้นได้สำหรับการถูกทำร้ายที่ยิ่งใหญ่

            กรณีเมืองปิซ่า(Pisa) หลังจากถูกครอบครองโดยฟลอเรนซ์ นับร้อยปี แต่ถ้าประชาชนไม่รู้ว่าจะเชื่อฟังผู้ปกครองใด ก็ยังมี่โอกาสที่ไหวตัวช้าๆ ในการจับอาวุธ ในรัฐที่มีความสมบูรณ์มาก การต้องการแก้แค้นก็มาก   ผู้ปกครองใหม่ต้องหาความมั่นคงจากประชาชน และต้องกวาดล้างประชาชนที่ยังมีความต้องการแก้แค้นอยู่ หรือไม่ผู้ปกครองก็ต้องไปอยู่ที่นั่นด้วย

                        สรุป วิธีการหลักที่ใช้มากที่สุดคือ การทำลายให้พินาศกับเจ้าคนเดิมและประชาชนที่จงรักภักดี

**********************

 

บทที่ 6

รัฐใหม่ซึ่งได้มา โดยกำลังและความสามารถของตนเอง

      รัฐใหม่เอี่ยมและผู้ปกครองใหม่ การปกครองยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับความสามารถ

สามัญชนที่จะมาเป็นเจ้าปกครองได้ต้องมีอยู่ 2 แบบคือจากความสามารถ กับโชคชะตา

            ตัวอย่าง เช่น โมเสส(Moses)   เป็นผู้ที่มีความสามารถพูดได้กับพระเจ้า เป็นผู้ปฎิบัติตามคำสั่งของพระเจ้า ควรแก่การสรรเสริญ   ส่วน ไซรัส (Cyrus)  โรคิว(Romulus) เทสิอุส(Theseus)  เขาเหล่านี้ โชคชะตาไม่ได้ช่วยพวกเขาเลย เขาอาศัยความสามารถและโอกาสที่เหมาะสมประกอบกันจะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้ในการเป็นผู้ปกครอง

            การเป็นผู้ปกครองโดยความสามารถต้องพบความยากลำบากแล้วจะสร้างความเสถียรภาพให้แก่ตัวเอง ต้องนำระบบใหม่เข้ามา มีคน3 ปะเภทที่จะเกิดจากระบบใหม่ คือ

1        ประชาชนที่เคยชินกับระบบผลประโยชน์เก่า จะกลายเป็นศัตรู

2        ผู้ที่จะได้รับผลประโยชน์จากระบบใหม่ จะเป็นผู้ป้องกันที่เฉื่อยชา

            การเปลี่ยนแปลงนี้มี่อยู่โดยลำพังหรือขึ้นอยู่กับผู้อื่น เราต้องแยกระหว่างบุคคลซึ่งสามารถบังคับการกระทำให้เกิดการ พึ่งตนเองได้ กับบุคคลซึ่งต้องร้องขอ ซึ่งฝ่ายนี้จะไม่ประสบผลสำเร็จอะไรเลย และมีจุดจบที่เลวร้าย เหตุนี้ ศาสดาผู้ถืออาวุธย่อมชนะ

            ธรรมชาติของประชาชน เปลี่ยนใจง่ายในการชักชวนให้เชื่อในบางสิ่ง แต่เป็นการยากที่จะให้เขาผูกพันใจคำชักชวน ฉะนั้นการจัดการกับประชาชน คือต้องใช้กำลัง ในการทำให้เชื่อ

 

            Hero เป็นสามัญชนที่มาเป็นผู้ปกครองซีราคิวส์ ก็ด้วยโอกาสที่เหมาะสม และความสามารถ เขาต้องทำงานอย่างหนัก เพื่อสร้างฐานะให้ตนเอง แต่ไม่พบการยากลำบากในการรักษาและดำรงมันเอาไว้

            แมคเคียวเวลลี่ กล่าวถึงโมเสส ว่าเป็นผู้ดำเนินการให้พระเจ้านั้น น่าจะมีความหมายถึงความมีอำนาจที่เกี่ยวพันกันศาสนจักร

*********************

 

บทที่ 7

อาณาจักรใหม่ซึ่งได้มาด้วยความช่วยเหลือจากกำลังและโชคของคนอื่น

            จักรพรรดิไต่เต้า หมายถึงผู้ปกครองจากสามัญชนที่โชคช่วย ด้วยความโปรดปราน หรือด้วนเงินสินบนความยากลำบากอยู่ที่การรักษามันไว้ เพราะความไม่มีสติปัญญาและความสามารถ ตัวอย่าง เช่น ไอโอเนีย(Ionia) และเฮลเลสปอนด์ (Hellespont)ที่ได้รับการแต่งตั้งจากพระเจ้าดาริอุส ให้ไปปกครอง

            สามัญชนที่จะเป็นเจ้าผู้ปกครองมีวิธีการได้มา 2 แบบ คือ โชคช่วย ซึ่งรวมถึงการใช้เงินสินบน และจากความโปรดปราน จึงได้รับการแต่งตั้ง  อีกวิธีคือ การได้มาเพราะความสามารถบวกกับโชค เช่น ฟรานเซสโก  สฟอร์ซา และซีซาร์ บอร์เจีย

**********************

 


บทที่ 8


ผู้ซึ่งได้เป็นผู้ปกครองโดยการกระทำที่ชั่วช้า


การก้าวสู่ตำแหน่งผู้ปกครองมี 2 วิธี

ได้กล่าวไว้แล้วในเรื่อง Republic        แบบที่ 2 ด้วยการกระทำที่ชั่วช้า    ตัวอย่างที่กล่าวถึงคือ อกาธอคลิส ชาวซิซิลี สามัญชนชั้นต่ำสุดที่ก้าวมาสู่กษัตริย์ แห่งซีราคิวส์ได้ ถ้าได้ศึกษาประวัติการทำงานที่ไต่เต้ามาจากทหารชั้นผู้น้อย เต็มไปด้วยความยากลำบาก แต่ด้วยความกล้าหาญและเสี่ยงอันตราย ฆ่าเพื่อนร่วมชาติ ทรยศมิตรสหาย ปราศจากความเชื่อถือ ไม่มีความสงสาร  ไม่มีศาสนา เขาได้อำนาจ แต่ด้วยความโหดร้ายกักขละไร้มนุษยธรรมจึงไม่อาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้มีชื่อเสียง

            ยุคปัจจุบัน(สันตะปาปา อเล็กซานเดอร์ที่ 6 ,  โอลิเวอรอตโต เดอ เฟอโม (Oliverotlo  De Fermo)เด็กกำพร้า ต่อมาไปเป็นทหาร ด้วยความเฉลียวฉลาด และความสามารถ บวกความกล้าหาญ ได้เป็นผู้นำทหาร ต่อมาเขาฆ่าลุงตายผู้ซึ่งเลี้ยงดูเขามา พร้อมยึดอาณาจักร แล้วประหารพวกที่เป็นศัตรู ในที่สุดก็ถูกฆ่ารัดคอ

            ความโหดร้ายรุนแรงนั้นควรจะทำในครั้งเดียวให้หมด ส่วนความดีนั้นควรค่อยๆ ทำ เพื่อให้รู้สึกดีขึ้น ตามลำดับ  การใช้ความโหดร้ายอย่างดี คือใช้มันเพียงครั้งเดียว ถ้าเราใช้มันอย่างเลวก็คือใช้มันบ่อยๆ

            แมคเคียเวลลี่ไม่ได้มองเรื่องความดี,เลว กับความหมายของจริยธรรม คุณธรรมแต่มองที่ความเหมาะสม เพื่อยื่นข้อเสนอให้เจ้าเลือกใช้ให้เกิดประโยชน์  เขาพยายามชักจูงให้ความชั่วร้ายที่ผิดมนุษย์ กลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นสิ่งธรรมดาเพื่อการได้มา

 


บทที่ 9


รัฐแห่งประชาชน (Civic principalities)

รัฐแห่งประชาชน คือ การขึ้นมาเป็นผู้ปกครองโดยการช่วยเหลือจากประชาชน หรือคนชั้นสูง ในสังคม ประชาชนไม่ต้องการถูกกดขี่โดยคนชั้นสูง ขณะที่คนชั้นสูงต้องการกดขี่ประชาชนจึงนำไปสู่ผลดังนี้  

1        รัฐอาณาจักร(Principality)

2        รัฐเสรี หรืออิสระภาพ(Free  City)

3        รัฐอนาธิปไตย หรือรัฐที่ปราศจากกฎหมาย (Anarchy)

กลุ่มชนชั้นสูงและประชาชนต่างก็พยามสร้างเกียรติคุณให้แกคนโดคนหนึ่งของพวกตนและตั้งบุคคลนั้นให้เป็นผู้ปกครอง

เนื่องจากประชาชนเป็นรากเหง้าของอาณาจักร ซึ่งมีมากว่าย่อมมีกำลังมากกว่า ความซื่อตรงจริงใจมากกว่าชนชั้นสูง ผู้นำชนชั้นสูงเป็นอันตรายมาก และรักษาไว้ได้ยาก             เจ้าผู้ฉลาดย่อมต้องการให้ประชาชนพึ่งในรัฐ และตัวผู้ปกครองทุกสถานการณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ราษฎรก็จะซื่อสัตย์ต่อเจ้าผู้ปกครองเสมอ

                                                             

บทที่ 10

จะวัดกำลังของราชอาณาจักรได้อย่างไร

            ผู้ปกครองที่พึ่งตนเองได้ต้องมีความสมบูรณ์กำลังพล กำลังทรัพย์ ที่จะต่อสู้ผู้รุกราน ผู้ปกครองที่ดีจะต้องสร้างและบำรุงเมืองให้แข็งแรง โดยไม่ต้องคำนึงถึงเมืองชนบท รอบนอกซึ่งเปรียบเหมือนป้อมปราการ  รอบเมืองชนบทมีคูน้ำล้อมรอบมีกำแพงที่แข็งแรง มีปืนใหญ่ สะสมเสบียงอาหาร เชื้อเพลิงไว้ใช้ตลอดปี

            เยอรมันมีหลายเมือง ชนชั้นต่ำได้รับการเลี้ยงดูที่ไม่กระทบต่อคลังกองกลาง คนเหล่านี้ผลิตอาหารให้เมืองรวมถึงมีการฝึกกำลังรบ ผู้ปกครองเมืองที่แข็งแรงจะต้องไม่ให้เป็นที่เกลียดชังเพราะเมื่อมีสงคราม ผู้ปกครองเพียงแต่ทำหน้าที่คอยกระตุ้นให้ประชาชนผู้อยู่ใต้การปกครองมีความหวังว่า สถานการณ์ความยากลำบากจะอยู่ไม่นาน และกระตุ้นให้ประชาชนกลัวความโหดร้ายของศัตรู และใช้มาตรการเด็ดขาดสำหรับผู้ที่เปิดเผยความจริง

            เมื่อมีการต่อสู้ ประชาชนจะรวมตัวเข้ากับผู้ปกครอง ในลักษณะมนุษย์มีพันธะร่วมกัน หน้าที่ของผู้ปกครองเพียงสุขุมรอบคอบ ให้ผู้อยู่ใต้ปกครองมีจิตใจแน่วแน่ตั้งแต่ถูกล้อมจนสู้รบเลิก ตราบใดที่ยังมีอาหาร และอาวุธเพียงพอ

            แมคเคียเวลลี่ชี้ให้เห็นว่า  เจ้าผู้ปกครองสามารถที่จะยืนหยัดด้วยวิธีการตัวเองได้หรือไม่

*********************

 

บทที่ 11

ศาสนจักร


รัฐที่มีเจ้าผู้ปกครองทางศาสนา ความยากลำบากในการปกครอง สาเหตุจากการได้มาจากคุณธรรมหรือโชคชะตา  รัฐเหล่านี้ปกครองโดยระเบียบแบบแผนโบราณทางศาสนา จึงได้รับการยกย่องและอยู่ได้ด้วยเหตุที่สูงส่ง โดยพระผู้เป็นเจ้า

            ศาสนจักรก้าวเข้าสู่ความยิ่งใหญ่ในเรื่องทางโลกได้อย่างไร สันตะปาปาเป็นตำแหน่งที่ทรงอานุภาพมากที่สุด ทำให้ศาสนจักรยิ่งใหญ่ด้วยอาวุธ และเงิน  ในอิตาลีมี 2 ตระกูลที่แย่งชิงอำนาจของศาสนจักร คือ โอร์ซินี และ โคโลนาร์ ที่ทำการสู้รบมาเป็นเวลานาน

            เมื่อ ศาสนจักรยึดครองโรมันญาได้ทั้งหมด พวกชนชั้นสูงแห่งโรมถูกขจัดจนหมดสิ้นด้วยความเฉียบขาดของสันตะปาปาอเล็กซานเดอร์ที่6 เมื่อมรณภาพก็เข้าสู่ยุคของสันตะปาปาจูเลียส

ซึ่งขยายอาณาเขตยึดโบโลนญา และกำจัดชาวเวนิสขับไล่ชาวฝรั่งเศส พระองค์ทำให้2ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ยอมสยบทั้งที่อยากจะกบฎ

            สรุปว่าความวุ่นวายที้งหมดเกิดจากความทะเยอทะยานของพระคาร์ดินัลที่สนับสนุนโรมนำไปสู่การแตกแยก

***********************

 

บทที่12

ชนิดต่างๆ ของกองทัพและกองทหารรับจ้าง

            กองทหารรับจ้าง เป็นพวกที่ไม่กลัวพระผู้เป็นเจ้า และไม่รักษาข้อตกลงกับมนุษย์  แมคเคียเวลลี สรุปว่าเจ้าจำเป็นที่จะต้องมีกำลังของตนเอง มีกองทัพและรูปแบบวิธีของตน  บทนี้กล่าวถึงความล้มเหลวของอิตาลีที่ถูกครอบงำด้วยทหารรับจ้างเป็นเวลานาน ในที่สุดต้องพินาศ ส่วนโรมและสปาร์ตา มีกองทัพของตนเองจึงคงความมีอิสระมาได้

            กองทหารรับจ้างหรือทหารพันธมิตร  เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นและมีอันตราย ทหารรับจ้างขาดวินัย ไม่ภักดี กล้าหาญในหมู่เพื่อน ขี้ขลาดเมื่อเผชิญศัตรู ไม่ซื่อสัตย์พวกพ้อง เขาพร้อมที่จะทำให้ท่านหมดตัวในยามสงบ และตีจากเมื่อเกิดสงคราม พร้อมที่จะโค่นล้มนายจ้างหรือเข้าฝ่ายศัตรู

**************************

 

บทที่ 13

กองทหารพันธมิตร กองทหารผสม และกองทหารพื้นเมือง

            ทหารพันธมิตร เป็นทหารที่ไร้ประโยชน์ เต็มไปด้วยอันตราย เมื่อรบแพ้ท่านก็จะปราชัย เมื่อรบชนะท่านก็จะเป็นนักโทษพวกนี้ แต่ กองทหารพันธมิตรมีระเบียบวินัย เคารพเชื่อฟังนายคนเดียว ส่วนทหารรับจ้าง จ้องหาโอกาสที่จะทำอันตรายท่าน พวกนี้ไม่มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียว

            ผู้ปกครองที่ฉลาดต้องใช้ทหารตนเอง ถึงนะรบแพ้ก็ยังดีกว่าทหารรับจ้าง  หลักการเบื้องต้นของการเมืองก็คือ การใช้ประโยชน์หรือคุณค่าของตนก็เพื่อวัตถุประสงค์ของตนเอง

********************

 

บทที่ 14

ผู้ปกครองควรจัดกองทหารอย่างไร

            แมคเคียวเวลลีบอกเราว่า  สิ่งที่เป็นประโยชน์และเจ้าจำเป็นต้องมีคือ การจัดกองทัพและระเบียบวินัย วิธีแรกที่จะได้รัฐมาคือศิลปแห่งสงคราม การฝึกซ้อมทหารจำเป็นจะต้องทำแม้ในยามสงบ    นอกจากนี้เจ้าผู้ปกครองควรที่จะฝึกฝนตนเอง ใน 2 ประเภท ด้วยกันคือ เรื่องงาน และเรื่องสติปัญญา การฝึกฝนร่างกายทำได้โดย ซ้อมทหาร การล่าสัตว์ ทำให้เข้าใจพื้นที่ภูมิประเทศ ส่วนการฝึกด้านจิตใจ ทำด้วยการอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ การทำตามอย่างบุคคลสำคัญเป็นการศึกษาเรื่องที่เป็นสากลทั่วไป

*******************

 


บทที่ 15


สิ่งที่คน โดยเฉพาะผู้ปกครองได้รับการชมเชยหรือถูกติเตียน


            ผู้ปกครองควรปฎิบัติต่อผู้ใต้ปกครองและเพื่อนอย่างใด  ผู้ปกครองจะต้องรักษาอำนาจการปกครอง เขาต้องเรี่ยนรุ้ว่าจะเป็นผู้ไร้คุณธรรมและจะต้องรู้จักใช้หรือไม่ใช้ตามความจำเป็น

            แมคเคียเวลลี่ เขียนไว้ว่า ให้ดูความเป็นจริงของมนุษย์ ที่เป็นอยู่ ไม่ใช่ที่ควรจะเป็น  เจ้าควรหลีกเลี่ยงการมีชื่อเสียงในเรื่องความชั่ว ซึ่งจะทำให้เสียรัฐไป ผู้ปกครองไม่จำเป็นต้องกลัวที่จะถูกกล่าวหาว่าชั่ว หากสิ่งนั้นจำเป็นในการรักษารัฐ ถ้าพิจารณาอย่างถี่ถ้วน ราจะเห็นว่า ผู้ปกครองที่ปฏิบัติตามคุณธรรมจะพบว่าสิ่งนั้นจะมาทำลายเขา และผู้ปกครองที่ทำในสิ่งที่ชั่วจะพบว่ามันช่วยให้เขามีความมั่นคงและรุ่งเรืองได้

**********************

 


บทที่ 16


ความโอบอ้อมและความตระหนี่


            แมคเคียเวลลี่กล่าวถึงความโอบอ้อมอารี และความขี้เหนียวซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วไม่ได้เกี่ยวข้องกับความหมายที่แท้ของมันเลย เขาเริ่มกระบวนการบ่อนทำลายด้วยการพูดถึงเงินและการเมือง ความโอบอ้อมอารีของรัฐซึ่งปรกตินไชื่อเสียงดีกว่าการได้ชื่อว่าเป็นรัฐตระหนี่ อาจจะนำไปสู่ความยากจนของพลเมือง และอาจรวมไปถึงความไม่น่าเชื่อถือและความหายนะของรัฐบาลนั้นได้ เพราะในขณะที่รัฐบาลพยายามจะทำตนให้ได้รับความนิยมจากพลเมืองด้วยการให้  รัฐบาลนั้นเองก็จะบีบบังคับให้เป็นรัฐบาลที่ชอบเก็บภาษี  รัฐบาลที่ทำให้คนทั้งปวงยากจนลงเพื่อที่จะเป็นประโยชน์แก่คนบางคนก็จะมีมิตรที่ไม่แน่นอน แต่จะมีศัตรูจำนวนหนึ่งแน่นอนประเด็นทฤฎีตรงนี้เป็นเรื่องธรรมดาและปฏิเสธไม่ได้นั่นคือ ความโอบอ้อมอารีมีคุณใมบัติที่ดีก็เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่อาจคาดหวังโดยสอดคล้องกับเหตุผลว่าจะบรรลุถึงได้เท่านั้น

*********************

บทที่ 17

ความโหดร้ายและความสงสาร เห็นใจระหว่างการเป็นที่รักและถูกเกรงกลัวอย่างไหนจะดีกว่ากัน

            เริ่มต้นที่แมคเคียเวลลี่ แนะนำว่าผู้ปกครองควรจะมีความโหดร้ายทารุณ เพราะสิ่งนี้จะทำให้การปกครองเป็นอันหนึ่งอันเดียวและภักดีได้ ตัวอย่าง ของฮานนิบาล (Hannibal) ที่โหดร้ายเกินมนุษย์ทำให้เขาสามารถสร้างกองทัพได้อย่างพร้อมเพรียงในการรบ เขาเป็นที่นับถือและเกรงกลัวในสายตาคนของเขา ผู้ปกครองที่ดีจึงไม่ต้องห่วงว่าจะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้โหดร้าย

            มนุษย์เรารักคนอื่นตามความพอใจของเขา แต่กลัวตามความพอใจของผู้ปกครอง ดังนั้น ผู้ปกครองที่ฉลาดจึงควรพึ่งพาในสิ่งที่เป็นของตนเอง  ไม่ใช่ในสิ่งที่เป้นของผู้อื่น และสิ่งที่ผู้ปกคร่องต้องพยายามหลีกเลี่ยงคือการถูกเกลียดชัง เพราะฉะนั้นผู้ปกครองควรทำตัวเช่นไรให้พิจารณาจากคำแนะนำนี้

            แมคเคียเวลลี่ได้ชี้ตรงประเด็น ถึงสัณชาตญานของมนุษย์นั้นสามรถทำอันตรายคนที่ตัวรักง่ายกว่าคนที่ตนกลัว ความรักทำให้ผูกพัน  แต่มนุษย์เป็นสัตว์ชั่วร้าย ความผูกพันจะถูกทำลายลงทันทีที่มีผลประโยชน์

            เห็นได้ว่าแมคเคียเวลลี่พูดถึงแต่สัณชาตญาณดิบของมนุษย์ที่ไม่มีเรื่องของปัญญาหรือความถูกผิด  ความละอาย หรือความพัฒนาทางจิตใจใดๆเลย

*********************

บทที่ 18

ผู้ปกครองควรรักษาคำพูดอย่างไร

            เขาเสนอว่าบางครั้งการโกหกอาจจะนำไปสู่ผลที่ดีกว่าการพูดความจริง แต่เขาถามว่าในการต่อสู้ทางการเมืองเป็นประโยชน์หรือว่าดีจริงหรือ ที่จะบอกความจริงและรักษาข้อตกลงอย่างเคร่งครัด เขากล่าวว่ามีวิธีการต่อสู้ทางการเมืองอยู่2ชนิด   1. คือการต่อสู้ด้วยกฎหมาย ซึ่งเหมาะสมกับมนุษย์ และ  2.คือการใช้กำลังซึ่งเหมาะสามสำหรับสัตว์ป่า แต่การสอนทั้ง 2วิธีก็ถูกใช้ร่วมกันตั้งแต่โบราณ  แมคเคียเวลลี่ไม่ได้บอกถึงการต่อสู้ที่เหมาะสม ให้  เขาเปรียบเทียบ สติปัญญาและเหตุผล อย่างสุนัขจิ้งจอกที่ฉลาด   กับสิงโตที่มีกำลัง ดูเหมือนเขาจะลดระดับของสติปัญญาและกำลังเป็นเรื่องของสัตว์ป่าที่ต้องพยายามทุกอย่างให้อยู่รอด

            คุณธรรมที่จะพูดความจริงหรือไม่ เขาสอนว่ามาตรฐานที่เป็นจริงและถูกต้องคือไม่มีใครที่จะรักษาคำพูดคำสัญญาในเมื่อการกระทำนั้นจะทำให้อำนาจของตนลดน้อยลง

******************************************

บทที่ 19

ความจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังตัวไม่ให้คนดูหมิ่นเกลียดชัง

                ผู้ปกครองที่จะถูกดูหมิ่น เมื่อมีท่าทีหรือนิสัยคล้ายผู้หญิง ขี้ขลาด ไม่กล้าตัดสินใจ ผู้ปกครองควรจะระมัดระวังจากบุคลิกเหล่านี้เด็ดขาด

บุคลิกของผู้ปกครองจะต้อง ภาคภูมิ กล้าหาญ จริงจังและเข้มแข็ง ตัดสินใจเด็ดขาด และสิ่งที่จะทำให้ผู้ปกครองกลัวมี 2 อย่าง คือ

1.      สถานการณ์ภายในที่เกี่ยวข้อง เนื่องด้วยผู้อยู่ใต้ปกครอง

2.      การรุกรานจากอำนาจภายนอก

การหลีกเลี่ยงปัญหา ข้อ 1 คือ หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นที่เกลียดชังของคนส่วนมากหรือการถูกเหยียดหยาม

สรุปว่า เมื่อผู้ปกครองได้รับความจงรักภักดีจากประชาชนแล้ว เพราะไม่ต้องกังวลใจว่าจะถูกโค่นล้ม แต่ถ้าเมื่อใดประชาชนเป็นปฎิปักษ์และเกลียดเขาแล้ว เขาควรจะกลัวทุกอย่างและทุกๆคน รัฐที่มีการจัดระเบียบโครงสร้างที่ดี มีผู้ปกครองที่ฉลาด ก็ยังต้องพยายามทุกทางที่จะไม่ให้ชนชั้นสูงเกลียดชังหรือโกรธ เพราะนี่จะเป็นภาระสำคัญที่ผู้ปกครองต้องมี

ฝรั่งเศสเป็นอาณาจักรที่มีการจัดการดี ควรมีรัฐสภา เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สูงทั้งผู้ปกครองจะรักษาความมั่นคงปลอดภัยของตัวเองและสาวก เพราะรัฐสภาจะเป็นตัวป้องกันการไม่พอใจของประชาชนกับผู้ปกครอง

สรุปได้ว่า ผู้ปกครองควรมอบหมายให้ผู้อื่นทำหน้าที่ที่ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน เจ้าผู้ปกครองควรเลือกทำหน้าที่ที่จะทำให้ผู้อื่นชื่นชม ผู้ปกครองควรยกย่องขุนนาง และก็ไม่ทำตัวให้เป็นที่เกลียดชังของประชาชนกลุ่มใหญ่

เจ้าผู้ปกครองต้องทำตัวให้ทหารและประชาชนรักซึ่งเป็นการเอาใจเพราะทหารไม่ชอบสันติ แต่ประชาชนชอบสันติ เจ้าจะเลือกเอาใจทหารมากกว่าประชาชนเพราะทหารมีอำนาจมากกว่า

แมค ได้กล่าวถึงการวางตัวของเจ้าผู้ปกครองว่าจะต้องเจ้าเลห์อย่างหมาจิ้งจอกและเหี้ยมโหดอย่างสิงโต เจ้าต้องเลียนแบบวิธีนี้

**********************************************

 

บทที่ 20

ป้อมปราการและเครื่องมือ รวมทั้งวิธีการต่างๆในสมัยปัจจุบันมีประโยชน์หรือเป็นอันตรายต่อผู้ปกครอง

        การที่จะให้รัฐมั่นคง ผู้ปกครองต้องพิจารณาตามสถานการณ์ว่าจะเลือกใช้นโยบายใด

แมคได้กล่าวถึงความมั่นคงในรัฐในรูปแบบต่างๆ เช่น เรื่องอาวุธ ,ป้อมปราการ เป็นเรื่องยากในการตัดสินใจ ว่าวิธีใดดีที่สุด ต้องพิจารณาตามสถานการณ์ ในการเลือกใช้นโยบาย

ปัจจุบันผู้ปกครองมักจะใช้อาวุธ แต่บางคน สิทธิพิเศษนี้ก็ทำให้เขาต้องมีความรับผิดชอบและเสี่ยงอันตรายแต่จะเพิ่มความภักดี ทำให้ไม่ต้องจ้างทหารรับจ้าง

กรณีรัฐผสม คือดินแดนใหม่ผสมกับดินแดนเดิม เจ้าจำเป็นต้องปลดอาวุธ และต้องทำให้พวกนั้นอ่อนแอ ท่านต้องทำให้ตนเองและกองทัพเท่านั้นที่มีอาวุธได้

ประเพณี การปกครองสมัยก่อนบางครั้งไม่อาจนำมาใช้กับปัจจุบันได้ดังคำกล่าวว่า จะปกครองเมืองเสสโตเอีย (Pistoia) แล้วจะต้องใช้วิธีแบ่งกลุ่ม และถ้าจะปกครองปีซ่า จะต้องใช้ป้อมปราการ ดังนั้นเขาจะต้องสร้างความแตกแยกให้กับหมู่เมืองต่างๆ ซึ่งขึ้นอยู่กับเขาเพื่อที่จะควบคุมได้ง่าย

************************************

 

บทที่ 21

ผู้ปกครองควรจะทำอย่างไรเพื่อสร้างเกียรติยศชื่อเสียง

ผู้ปกครองต้องแสวงหาโอกาสที่จะสร้างชื่อเสียงโดยการทำตนให้เป็นเพื่อนแท้หรือเป็นศัตรูที่ไม่ยอมลดละ คือการเปิดเผยตัวเองอย่างไม่ปิดบังว่าเข้าข้างฝ่ายไหน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ปกครองมากกว่าการวางตัวเป็นกลาง ผู้ปกครองควรแสดงให้เห็นว่า เป็นผู้นิยมสรรเสริญความสามารถ โดยการให้เกียรติผู้ที่มีความสามารถ ยกย่องผู้ที่มีศิลปวิทยาต่างๆ สิ่งที่ทำให้ประชาชนเกิดความกระตือรือร้น มีความกล้าหาญที่จะทำกิจการงานด้วยความสงบ ไม่ว่าจะเป็นการค้าขาย การเกษตร หรืออาชีพใดๆทั้งสิ้น เพื่อที่ว่าจะไม่มีใครต้องหวั่นกลัวในการเพิ่มพูนทรัพย์สินของตัวเอง คือไม่ต้องเสียภาษีสูง ในทางตรงกันข้าม ผู้ปกครองควรพร้อมที่จะให้รางวัลผู้ที่ทำกิจการนั้น และใครก็ตามซึ่งกระทำในทางใดทางหนึ่งอันจะทำให้รัฐของเขาร่ำรวย และอีกอย่างที่สำคัญคือ ในปีหนึ่งๆ ผู้ปกครองควรจะจัดงานแสดงหรืองานรื่นเริงเพื่อให้ประชาชนได้พักผ่อนหย่อนใจสนุกสนานเพื่อแสดงความสนใจและความเมตตาและยังสามารถรักษาศักดิ์ศรีของตำแหน่งให้ตนได้ทุกเวลาเพราะว่าสิ่งเหล่านี้จะต้องคงมีอยู่เสมอ

*********************************************

 

บทที่ 22

ที่ปรึกษาของผู้ปกครอง

การที่ผู้ปกครองจะปกครองได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นขึ้นอยู่กับการเลือกที่ปรึกษาที่มีความสามารถและมีความรู้ที่จะให้การปรึกษาและแนะนำการตัดสินใจของผู้ปกครองได้ว่าถูกต้องหรือผิดพลาดเมื่อใดก็ตามถ้าท่านพบว่าคนของท่านคิดถึงตนเองมากกว่าคิดถึงท่านและแสวงหาผลประโยชน์ของตนเองในทุกสิ่งที่เขาทำแล้วคนผู้นั้นนับเป็นผู้ร่วมงานที่ดีไม่ได้เลย ในทางตรงกันข้ามถ้าเขาเห็นประโยชน์ของท่านสำคัญกว่าตนเองแล้วเขาจะเป็นประโยชน์และไว้ใจได้แต่ท่านต้องให้ความพึงพอใจต่อเขาและให้ความจริงใจต่อเขาเพื่อให้เขาไว้วางใจท่านและท่านก็ต้องไว้วางใจเขาเช่นกัน

***********************************************

 

บทที่ 23

ทำอย่างไรจึงจะหลีกเลี่ยงจากพวกประจบสอพลอ

แมคเคียเวลลี่ กล่าวถึงพื้นฐานธรรมดาของคนที่มักหลงมัวเมากับคำสรรเสริญได้ง่าย วิธีป้องกันจากพวกประจบสอพลอคือ การเดินสายกลาง การรักษาอารมณ์ ไม่แสดงความโกรธ เมื่อมีคนกล้าพูดความจริงกับท่าน

เจ้าควรเลือกคนฉลาดทำงาน ความคิดของคนเหล่านี้เท่านั้นที่พูดความจริง เจ้าต้องเป็นนักถามอยู่เสมอ และรู้จักรับฟัง เจ้าต้องเปิดโอกาสให้เขาพูดให้เต็มที่ แล้วต้องตัดสินใจด้วยตัวท่านเองหลังจากตัดสินใจแล้วก็ทำให้ตลอด และยอมรับการตัดสินใจ แม้จะมีการคัดค้านการตัดสินใจของท่าน

คำแนะนำปรึกษาที่ดีจากใครก็ตาม จะมีประโยชน์หรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับความฉลาดแหลมคมของผู้ปกครอง ไม่ใช่เฉพาะความฉลาดของผู้ปกครองขึ้นอยู่กับที่ปรึกษาที่ดี

**********************************************

 

 

 

 

บทที่ 24

ทำไมผู้ปกครองอิตาลีจึงเสียรัฐ

การที่ผู้ปกครองที่ไม่เคยมีบรรพบุรุษหรือตระกูลปกครองมาก่อนนั้นถ้าได้รับตำแหน่งให้เป็นผู้ปกครองแล้วนั้นถือว่าเป็นผู้ที่มีความสามารถและเป็นผู้ที่น่าได้รับการยกย่องจากทหารและประชาชนซึ่งการที่ไม่เคยเป็นเจ้ามาก่อนแล้วได้ทำให้ผู้อื่นได้เห็นความสามารถของตนเองได้ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาจะสูญเสียเอกราชหรือเสียรัฐก็ย่อมได้รับการกล่าวขานถึงเกียรติและความสามารถของตนเอง และในทางกลับกันถ้าหากว่าบรรพบุรุษของตนเองหรือตระกูลของตนเองเป็นผู้กุมอำนาจมายาวนานแล้วต้องมาสูญเสียรัฐในสมัยของตนเองนั้นต้องเกิดความอับอายเป็นสองเท่าเนื่องจากว่าตนเองนั้นขาดความ สามารถที่จะรักษารัฐของตนเอง ไว้ได้และยังต้องถูกประนามจากประชาชนอีกด้วย ดังนั้นการที่ผู้ปกครองที่สืบต่อมาอย่างยาวนานนั้นจึงต้องมีการปกครองที่ดีและมีความรู้ความสามารถเป็นพิเศษรวมไปถึงการเลือกใช้คนที่เหมาะสมและต้องมีเล่ห์เหลี่ยมอย่างมากสำหรับการปกครองรัฐ

*********************************************

 

บทที่ 25

เรื่องราวของมนุษย์นั้นถูกโชคชะตากำหนดเพียงใดและทำอย่างไรเราจึงจะสามารถต่อต้านกับพรหมลิขิตได้

เรื่องโชคชะตานั้นเป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือความควบคุมของมนุษย์ได้แต่สิ่งที่สำคัญนั้นมนุษย์สามารถควบคุมสิ่งที่จะเกิดขึ้นได้ด้วยการ ใช้ปัญญาหรือความฉลาดของตนและโอกาสที่เหมาะสมการที่คนจะเป็นเจ้าได้นั้นต้องมี ปัญญาและต้องช่วงชิงโอกาสซึ่งบางครั้งต้องใช้เลห์กลอุบายหรือการกระทำทุกอย่างเพื่อที่จะทำให้ตนนั้นได้มีโอกาสเหนือคู่ต่อสู้ทุกอย่าง ซึ่งเมื่อเรามีโอกาสเหนือคู่ต่อสู้แล้วเราก็เป็นผู้ที่คุมเกมส์และสามารถบังคับให้สิ่งต่างๆที่เราต้องการนั้นเป็นไปตามความต้องการของเราได้ซึ่งถือว่าเราสามารถเป็นผู้ลิขิตสิ่งนั้นๆได้แต่การกระทำทุกอย่างต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังและต้องมีความฉับไวทันต่อสถานการณ์

*****************************************

 

บทที่ 26

คำแนะนำให้ปล่อยอิตาลีให้เป็นอิสระจากพวกป่าเถื่อน

                อิตาลีสมควรที่จะมีผู้ปกครองคนใหม่และเป็นเวลาที่เหมาะสมแล้วที่จะได้รับการคัดเลือกผู้ปกครองที่มีความสามารถและเหมาะสมเมื่อย้อนดูในอดีตแล้วการที่มีทหารที่มีความชำนาญเพียงอย่างเดียวแต่กลับอ่อนแอในการรบรูปแบบอื่นจะทำให้การรบนั้นไม่สามารถจะได้ชัยชนะที่สมบูรณ์หรือเบ็ดเสร็จ ดังนั้นการรบหรือการยึดครองที่สมบูรณ์นั้นต้องมีความเด็ดขาดและความรวดเร็วของการตัดสินใจของผู้นำ ความพร้อมเพียงของทหาร และกำลังใจของเจ้าผู้ปกครองที่มีต่อกำลังที่จะยอมพลีชีพให้กับรัฐและเจ้าผู้ปกครอง การชิงความได้เปรียบถือว่าเป็นหลักของการที่จะชนะศัตรู และที่สำคัญที่สุดคือผู้นำต้องไม่มีความอ่อนแอ ซึ่งผู้นำเป็นทุกอย่างที่ได้กล่าวมา ตราบจนทุกวันนี้ยังไม่มีใครที่จะทำให้ตนเด่นขึ้นโดยความเก่งกาจถึงขนาดที่ทำให้ผู้อื่นยอมรับได้ ด้วยเหตุผลนี้เอง การทำสงครามของอิตาลีหลายๆครั้งที่ผ่านมานั้นจึงประสบแต่ความล้มเหลว ดังนั้นสมควรที่จะต้องมีผู้นำที่แข้มแข็งมากู้ชาติ ดังที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นจะเป็นการส่งเสริมเกียรติคุณของผู้ปกครองใหม่

*************************************

 

วิจารณ์


เจ้า


เป็นหนังสือที่ชี้ให้เห็นแต่ละมุมมองของผูที่ต้องการรักษาอำนาจการปกครอง โดยแมคเคียเวลลี่มองมนุษย์ในความเป็นจริงบนพื้นฐานดิบ ของสัญชาติญาณ ความต้องการที่แท้จริง ถ้ามองวิวัฒนาการสติปัญญาของมนุษย์ จากสัญชาติญาณ จะเป็นระดับที่คนกับสัตว์เสมอกัน สูงขึ้นมาคือ สามัญสำนึก และ ศาสนา ปรัชญา งานของแมคเคียเวลลี่จะมองมนุษย์ใน    2 ระดับแรก ความต่างของมนุษย์กับสัตว์   ในเรื่องของความดีงามทางจิตใจจึง ไม่มีเลย แม้เขาจะใช้ศัพท์คำว่า เมตตา คุณธรรมก็ตาม ถ้าเรามองชีวประวัติของเขาเราจะเข้าใจมากขึ้นว่าทำไมงานเขียนเขาจึงรุนแรง  เขาเกิดในสมัยบ้านเมืองไม่สงบ ศาสนจักร มีอำนาจ ทหาร พระมีการคอรัปชั่น แก่งแย่งกันเพื่อความเป็นใหญ่ ซึ่งในสมัยนั้นมี2ตระกูลใหญ่ซึ่งต่อสู้กันยาวนาน สิ่งที่เขาเห็นคือ ใครที่มีอำนาจผู้นั้นเป็นใหญ่ เพราะฉะนั้นอำนาจคือสิ่งที่จำเป็นต้องรักษาไว้  ศาสนาจึงไม่ใช่ที่พึ่งเป็นเพียงอำนาจของนักบวชในรูปนักการเมืองสมัยนั้นสำหรับเขา ผู้เขียนรายงานคิดว่าถ้าแม้แมคเคียเวลลี่มีโอกาสที่จะแสวงหาอำนาจได้เขาก็จะทำโดยทันทีเช่นกัน  จากการที่เคยถูกขังคุกทกให้ได้รับความเจ็บปวดทางจิตใจ      ถ้าใครอ่านหนังสือของเขาแล้วเห็นด้วยอย่างเช่นนักการเมืองหลายท่านที่ชื่นชอบงานของเขาเป็นสิ่งที่น่ากลัวมากในอนาคตว่าอะไรจะเกิดขึ้น ถ้ามองอย่างเข้าใจเขาก็จะรู้สึกว่าเขาน่าสงสาร ด้วยว่าความคิดที่จะรวมประเทศเพื่อความมั่นคง แต่วิธีการที่เพื่อจะได้มานั้นทุกอย่างเพื่อจุดหมายอย่างเดียวโดยปราศจากศาสนาเป็นหลัก เจ้านั้นจะต้องมีทศพิศราชธรรมอำนาจจึงจะมั่นคงแต่แมคเคียเวลลี่ไม่เคยพบศาสนาที่นำความยุติธรรมมาให้เขาเห็นเลย สิ่งที่เขาเขียนจึงมาจากสิ่งแวดล้อมของชีวิตซึ่งทำให้เขามองโลกในแง่ร้ายเกินไป


***********************


 

 

 

บรรณนุกรม

 

ณัชชาภัทร อุ่นตรงจิตร .รัฐศาสตร์เบื้องต้น . ภาควิชารัฐศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยา

เชียงใหม่  พิมพ์ที่คนึงนิจการพิมพ์ ,2545

ประยงค์    สุวรรณบุบผา. รัฐปรัชญา แนวคิดตะวันออก-ตะวันตก.  สำนักพิมพ์โอเดียนสโตร์ ,

กรุงเทพฯ ,2541

รศ.ดร.จักรพันธุ์  วงษ์บูรณาวาทย์. ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์. พิมพ์ที่โครงการผู้หญิงไทยในวัน

พรุ่งนี้ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาเชียงใหม่  ,2545.

ไทม์ .สารานุกรม ประวัติศาสตร์โลก. เล่มที่ 5 .พิมพ์ที่ บริษัทฟาร์อีสต์พับลิเกชั่น จำกัด .กรุงเทพฯ

,2545

พิชิต  จงสถิตวัฒนา . เจ้า . บพิธการพิมพ์จำกัด , กรุงเทพฯ , 2524

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

ภาคผนวก

ประวัติมาคิอาเวลลี่ (Machiavelli 1469-1527)

มาคิอาเวลลี่ เป็นนักปราชญ์ชาวอิตาลี่ เกิดในปี ค.ศ. 1469 ที่เมืองฟลอเร็นซ์ โดยในช่วงที่มา คิอาเวลลี่เกิดนั้น ตระกูลเมดิซี (Medici) กำลังมีอำนาจสูงสุดในอิตาลี่ต่อมาตระกูลเมดิซีหมดอำนาจลงเมื่อมาคิอาเวลลี่อายุได้ 29 ปี และได้มีการจัดการสาธารณรัฐ (Republic) ขึ้น มาคิอาเวลลี่ได้เข้ารับราชการในสาธารณะรัฐเป็นเวลา 14 ปี ในระหว่างที่รับราชการนั้น มาคิอาเวลลี่ได้ศึกษาการเมืองของอิตาลีอย่างจริงจัง

มาคิ อาเวลลี่ได้เขียนหนังสือไว้หลายเล่มแต่ที่สำคัญมีอยู่ 3 เล่ม คือ

-                   The prince

-                   History of Florence

-                   Essay on the First Decade

ในบรรดาผลงานของมาคิอาเวลลี่ทั้งหมดนั้น หนังสือ The Prince เป็นที่นิยมอ่านและมีชื่อเสียงมากที่สุด ในสมัยที่มุสโสลินีเป็นนักเรียนเขาก็เลือกหนังสือเล่มนี้วิจารณ์เป็นวิทยานิพนธ์เพื่อรับปริญญาเอก แม้ฮิตเลอร์เองก็ชื่นชอบหนังสือเล่มนี้มากโดยมักจะปรากฏอยู่ข้างๆ เตียงนอนของเขาเสมอ

นอกจากนี้มีผู้รู้หลายท่านได้เปิดเผยอีกว่า เลนินกับสตาลินก็ให้ความนิยมหนังสือเล่มนี้อย่างมากด้วย หนังสือ The Prince           ของมาคิอาเวลลี่นั้น แพร่หลายอย่างมากตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 แต่ก็มีนครบางนคร เช่น โรมได้ประกาศว่า หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือต้องห้ามและต่อมายังได้ออกกฎหมายเผาผลงานทั้งหมดของมาคิอาเวลลี่ด้วย นอกจากนี้กษัตริย์ราชวงศ์ ฮิวเกอะโน แห่งฝรั่งเศสในปี 1576 ก็ได้เขียนหนังสือประณามหนังสือ The Prince อย่างรุนแรง

มาคิอาเวลลี่ มุ่งมั่นที่จะแก้ปัญหาของอิตาลีในขณะนั้นโดยต้องการที่จะรวมอิตาลีให้เป็นอันเดียวกันให้ได้ ดังนั้นผลงานของเขาจึงสะท้อนหรือส่งเสริมให้ผู้ปกครองใช้อำนาจปกครองอย่างเป็นอิสระเพื่อให้รัฐมีความอยู่รอด แนวคิดของมาคิอาเวลลี่ในเรื่องนี้เท่ากับเป็นศิลปะในการปกครองประเทศ โดยเขาได้แนะนำศิลปะในเรื่องนี้ไว้เป็น 4 ประการใหญ่ๆ คือ

1. การใช้กำลังอำนาจอย่างเต็มที่ วิธีการนี้มาคิอาเวลลี่เห็นว่าเป็นวิธีการที่สำคัญที่สุดที่ผู้ปกครองประเทศจะต้องศึกษาหาวิธีใช้และจะต้องใช้อย่างเต็มที่เพื่อรักษาไว้ซึ่งฐานะและอำนาจโดยการเรียนแบบอย่างสุนัขจิ้งจอกกับสิงโต มาคิอาเวลลี่เชื่อว่าอำนาจต้องรักษาไว้ด้วยกำลัง ถ้าขาดผู้ปกครองและเทศจะขาดอำนาจ ถ้ากำลังอ่อนแอลงมากเพียงใด ผู้ปกครองประเทศก็จะยึดครองหรือผู้มีชัยชนะในสงครามจะต้องใช้วิธีการทารุณปกครอง แต่อย่าใช้วิธีการทารุณเช่นนี้เป็นเวลานาน ใช้เฉพาะในตอนเริ่มแรก วิธีการนี้จะทำให้ประชาชนกลัวเกรงและผู้ที่ไม่ต้องการที่จะถูกทารุณก็จะมาจงรักภักดี ในตอนเริ่มต้นและจะมีความจงรักภักดีต่อไป

ถ้าหากรัฐใหม่ที่ยึดได้เป็นรัฐบาลมีกฎหมายดี มาคิอาเวลลี่แนะนำว่าต้องใช้วิธีการอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 อย่าง หรือใช้วิธีการทั้งสามพร้อมกัน คือ (1) วิธีแรกคือต้องปล้นสะดมกวาดต้อนทรัพย์สินมาเป็นของเจ้าผู้ปกครองนครหรือผู้ปกครองให้หมด (2) วิธีที่สอง คือ จะต้องไปตั้งรัฐบาลที่นครนั้นและผู้ปกครองต้องไปอยู่ในนครนั้นด้วยตนเองด้วย (3) วิธีที่สามคือ เป็นวิธีการที่ผู้ปกครองต้องจัดตั้งรัฐบาลขึ้นในนครนั้นเสียใหม่ โดยแต่งตั้งให้ผู้ที่จงรักภักดีที่เป็นชาวนครนั้นเอง เป็นผู้ปกครองแทน และผู้ปกครองแทนนี้ต้องส่งบรรณาการให้แก่ผู้ปกครองที่ชนะอยู่เป็นประจำ เพื่อแสดงความจงรักภักดี มาคิอาเวลลี่ได้เน้นว่า เมื่อยึดนครได้จะให้แน่นอนว่าจะปกครองต่อไปได้ดี ควรจะทำลายเมืองนั้นเสียด้วย เพราะนครที่ไม่ถูกทำลายจะเป็นบ่อเกิดแห่งกบฏต่อไปในภายหน้า ถ้าหากจะรวมความแล้วอาจสรุปได้ว่าในการยึดครองเมืองใดเมืองหนึ่งนั้น ผู้ปกครองต้องกล้าที่จะประกอบกรรมอันทารุณ แม้กระทั่งต้องเผาผลาญเมืองนั้นทั้งเมืองก็ตาม แต่เป็นการจำเป็นที่จะเป็นผู้ปกครองที่ประสบความสำเร็จด้วยดี

2. ใช้วิธีการชักจูงน้ำใจคนอย่างมีศิลปะ (Use Persuasion Artfully) มาคิอาเวลลี่ได้ใช้เล่ห์กลสำคัญอย่างหนึ่งในการปกครองคือ ผู้ปกครองที่ดีจะต้องไม่ใช้กำลังอำนาจอย่างเดียวที่จะรักษาอำนาจไว้ให้แก่ตนเอง ท่านผู้นี้สอนว่า ในระยะยาวการใช้อำนาจเป็นการสิ้นเปลืองและเป็นวิธีการที่ไร้ประสิทธิภาพ เพราะว่าประชาชนที่มีความสุขพอสมควรย่อมปกครองง่ายกว่าประชาชนที่ยอมอยู่ในความสงบโดยมีดาบปลายปืนคอยจ้องแทงอยู่ตลอดเวลา วิธีการใช้อำนาจนั้นมาคิอาเวลลี่สอนให้ใช้ศาสนาเป็นเครื่องมือ มาคิอาเวลลี่เห็นว่า ที่อาณาจักรโรมันยืนยงอยู่ได้ก็เพราะมีหลักการปกครองที่ทำให้ประชาชนเคารพจักรพรรดิและกฎหมายโรมัน การปกครองโรมันจึงเริ่มต้นด้วยการทำให้ประชาชนกลัวพระเจ้า  ได้มีการให้มีการสาบานตนว่าจะเป็นพลเมืองดี ถ้าประพฤติเป็นอย่างอื่นจะถูกลงโทษพระเจ้าประชาชนกลัวจะทำผิดคำสาบานมากกว่ากลัวผิดกฎหมาย มาคิอาเวลลี่เห็นว่าการใช้วิธีนี้เป็นการนำศาสนามาใช้ในแง่ที่ดีอย่างหนึ่ง

3.  การดำเนินการโดยฉับพลัน ( Act Decisivery)  มาคิอาเวลลี่ เห็นว่าอำนาจของผู้ปกครองประเทศจะถูกทำลายได้อย่างง่ายดายที่สุด ถ้าหากผู้ปกครองประเทศมีนิสัยชักช้าในการตัดสินใจ

อย่างไรก็ดี มาคิอาเวลลี่ได้เตือนผู้ปกครองไว้เหมือนกันว่า ผู้ปกครองที่ฉลาดจะต้องไม่คำนึงถึงปัจจุบันแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะต้องใคร่ครวญถึงผลในอดีตด้วย ในเรื่องนี้ เขาบอกว่า ไม่ควรจะให้ความใคร่ครวญขัดขวางความกล้าเด็ดเดี่ยวของตนเสีย อย่าปล่อยให้ปัญหาทางการปกครอง พอกหางหมู ขึ้นทุกวันจะเป็นภาระอย่างหนักในการแก้ไขต่อไป ผู้ปกครองที่ดีก็เสมือนนายแพทย์ที่ดีต้องรับรักษาคนไข้ก่อนที่โรคจะกำเริบมากขึ้นต่อไป ก่อนที่จะสายเกินไปที่จะให้การรักษาเยียวยา

4. บำรุงรักษากองทัพให้เข้มแข็ง ข้อนี้มีความสัมพันธ์กับข้อที่สาม อย่างใกล้ชิด มาคิอาเวลลี่เห็นว่า ผู้ปกครองประเทศไม่อาจจะดำเนินการโดยเด็ดขาดไม่ว่าในเรื่องใด ถ้าหากขาดกองทัพที่เข้มแข็งสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง ฉะนั้นมาคิอาเวลลี่จึงเห็นว่า ถ้าหากผู้ปกครองต้องการมีอำนาจใช้อำนาจได้อย่างดี และดำเนินการได้รวดเร็วจะต้องมีกองทัพที่เข้มแข็งในความเห็นของท่านนั้น กองทัพที่เข้มแข็งจะต้องไม่ใช่กองทัพที่ประกอบไปด้วยทหารรับจ้างแต่ต้องเป็นกองทหารที่ประกอบไปด้วยทหารประจำการหรือทหารเกณฑ์ มาคิอาเวลลี่เห็นว่าทหารรับจ้างนั้นไม่มีความสามัคคี ไม่มีระเบียบวินัยที่ดี เห็นแก่สินจ้างรางวัล ขาดความจงรักภักดีต่อรัฐมีความมักใหญ่ใฝ่สูง และขลาดต่อศัตรู

        มาคิอาเวลลี่เป็นนักปราชญ์คนแรกที่เสนอให้อิตาลี่มีกองทหารเกณฑ์ประจำการ ซึ่งเป็นลักษณะของการป้องกันประเทศในสมัยนี้ เหตุผลสำคัญที่มาคิเวลลี่ให้ก็คือโดยที่อิตาลี่มีทหารรับจ้างนี่เอง ฝรั่งเศสหรือประเทศอื่นๆ จึงยกกองทัพมาโจมตีได้ชัยชนะง่ายๆ มาคิเวลลี่ได้ยกตัวอย่างพระเจ้าชาลล์แห่งฝรั่งเศสที่ยกกองทัพมาโจมตีอิตาลีได้ชัยชนะโดยเสียกำลังทหารเพียงเล็กน้อย ซึ่งถ้าหากอิตาลีมีทหารประจำการแล้ว การปราชัยต่อฝรั่งเศสก็ไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน

        มาคิเวลลี่ยังคัดค้านทหารรับจ้างในข้อที่ว่า ผู้บังคับบัญชาทหารรับจ้างนั้นถ้าหากเป็นผู้มีความสามารถก็ไม่เต็มใจจะทำสงครามนัก เพราะพวกนี้เต็มใจที่จะใช้กำลังทหารในบังคับบัญชาของตนไปในรูปแบบแสวงหาอำนาจวาสนาให้แก่ตนเองมากกว่าการรักษาอธิปไตยของชนติ ซึ่งมาคิอาเวลลี่สรุปว่า ทหารรับจ้างพวกนี้แทนที่จะส่งเสริมอำนาจของผู้ปกครองกลับจะเป็นการทำลายอำนาจของผู้ปกครองในที่สุด

        นอกจากศิลปะของการปกครองแล้ว มาคิอาเวลลี่ยังได้ให้หลักปรัชญาของท่านที่เกี่ยวข้องกับระบบการปกครองไว้ ท่านผู้นี้เห็นว่า ระบอบการปกครองที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับอิตาลี่นั้นก็คือ ระบอบสมบูรณาสิทธิราชหรือการปกครองที่ผู้เดียวมีอำนาจสูงสุดในรัฐ โดยที่ในระยะที่มาคิอาเวลลี่มีชีวิต อิตาลี่แตกแยกกันเป็น 6 แคว้น ดั่งได้กล่าวมาแล้วท่านผู้นี้เห็นว่าการแตกแยกของอิตาลีเป็นเพราะศาสนาหรือสันตปาปาต้องการมีอำนาจสูงสุดในอิตาลีจึงพยายามหาทางให้อิตาลีแตกแยกกันอยู่ซึ่งเป็นลักษณะของความอ่อนแอที่สันตะปาปาจะปกครองได้ง่าย โดยที่มาคิอาเวลลี่อยากเห็นอิตาลีรวมกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เป็นปึกแผ่นและมั่นคงต่อไปในภายภาคหน้า มาคิอาเวลลี่มองไม่เห็นระบอบการปกครองอื่นใดที่จะทำหน้าที่รวมประเทศได้ นอกจากระบอบสมบูรณาสิทธิราชเท่านั้น มีผู้รู้หลายท่านได้วิจารณ์ความคิเห็นของมาคิอาเวลลี่เกี่ยวกับการปกครองไว้ว่า ระบอบนี้อาจจะทำหน้าที่รวมประเทศอิตาลีให้เป็นแผ่นดินผืนเดียวได้ ที่มาคิอาเวลลี่เสนอเช่นนี้ก็อาจจะมีความจริงอยู่บ้าง

        นอกจากนี้มาคิอาเวลลี่ยังได้ระบุว่าปัญหาที่สำคัญในการปกครองอีกประการหนึ่งก็คือการเลือกเจ้าหน้าที่และที่ปรึกษา ซึ่งผู้ปกครองจะต้องระลึกอยู่เสมอว่าคนเหล่านั้นมักจะทำการแสวงหาผลประโยชน์ใส่ตนเองมากกว่าเพื่อผู้ปกครอง ดังนั้นจึงต้องจัดการอย่างเด็ดขาดเพื่อกวาดล้างเจ้าหน้าที่ที่ไม่ได้รับใช้ผู้ปกครองหรือกษัตริย์ด้วยดี ในขณะเดียวกันก็ควรจะให้รางวัลตอบแทนแก่ผู้ที่ทำงานดี แต่จะต้องระมัดระวังการประจบสอพลอด้วย

        กล่าวโดยสรุป มาคิอาเวลลี่ จะเน้นความสำคัญของชาติโดยเฉพาะในเรื่องความั่นคงความเป็นเอกภาพ และความอยู่รอด มากกว่าที่จะคำนึงถึงความสุขของประชาชนที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ สถานการณ์ของประเทศอิตาลีในขณะนั้นมีแต่ความแตกแยก ขาดความเป็นเอกภาพ มาคิอาเวลลี่จึงต้องการที่จะสร้างความเป็นเอกภาพและความเป็นปึกแผ่นให้แก่อิตาลีให้ได้[1]

 

อิตาลี ค.. 1460-1530

ช่วงเวลานี้ อิตาลียังแบ่งแยกออกเป็นรัฐเล็กๆ ทำให้เกิดความแตกต่างระหว่างรัฐเหล่านี้เป็นอย่างมาก บางรัฐมีความก้าวหน้าขณะที่บางรัฐยังมีลักษณะเป็นอนุรักษ์นิยม รัฐขนาดใหญ่เช่น ฟรอเรนซ์  เวนิส  โรม เป็นเพียงนครขนาดใหญ่ ส่วนรัฐอื่นๆมีผู้ปกครองในตำแหน่งดุ๊ก (Dukes)เช่น มันทัว(Muntua) มิลาน(Milan) เออร์บิโน (Urbino)และเฟอร์ราร่า (Ferrara)รัฐเหล่านี้ว่านมากผุ้ปกครอ่งมาจากตระกูลที่ร่ำรวยจากการค้าและพาณิชย์ในช่วงสมัยกลาง

                ตระกูลที่มีอำนาจ มากที่สุดในสมัยนี้คือ ตระกูล เดอ เม ดิซี แห่งฟลอเรนซ์ ซึ่งสร้างความร่ำรวยอย่างมหาศาลในช่วงคริสต์ศตวรรษที่14 จากธุรกิจการธนาคารแบะเงินกู้ เจ้านายในตระกูล เดอ เมดิซี ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือ ลอเร็นโซ ซึ่งปกครองฟลอเรนซ์ร่วมกับน้องชาย ในค.. 1469     ลอเร็นโซเป็นรัฐบุรุษและนักการธนาคารผู้ชาญฉลาด และยังอุปถัมภ์นักเขียน ศิลปิน นักปราชญ์ ปละนักวิทยาศาสตร์ หลายคน เขามุ่งมั่นที่จะส่งเสริมตระกูลเขาให้ยิ่งใหญ่ และพยามยามให้บุตรคนที่2 เป็นสันตะปาปา ลอเร็นโซ ทำให้ฟรอเร็นซ์เป็นนครที่สวยงามและมั่งคั่งที่สุด ในอิตาลี รวมทั้งเป็นศูนย์กลางของการฟื้นฟูศิลปวิทยาการ เขายังทำให้ภาษาอิตาลีที่ใช้กันเป็นภาษาที่ใช้กันทั่วประเทศ

                ตระกูลที่มีชื่อเสียงอีกตระกูลหนึ่งคือ   บอร์เจีย เจ้านายจากตระกูลนี้ 2 คนได้เป็นสันตะปาปา คนหนึ่งคือโรดริโก (Rodrigo)ซึ่งมีบุตรนอกสมรสหลายคนและต้องการให้บุตรทุกคนได้มีอำนาจด้วยเช่นกัน แต่เมื่อ โรดริโกถึงแก่อนิจกรรม ตระกูลบอร์เจียก็หมดอำนาจไป

                สฟอร์ซา(The Sforzas)เป็นตระกูลใหญ่แห่งมิลาน ลุโดวิโค สฟอร์ซา(Ludovico Sforzas) เป็นผู้มีรสนิยมดีแต่ก็มีความทะเยอทะยานอย่างรุนแรงด้วย เขาเป็นผู้เป็นผู้สำเร็จราชการของหลานชาย คือ   ดุ๊กแห่งมิลาน (Duke of Milan)แต่ก็รวมอำนาจมาไว้ในกำมือของตน ลุโดวิโคเป็นพันธมิตร กับโรดริโก บอร์เจีย (Rodrigo Borgia)และแต่งงานกับบุตรสาวของตระกูลเอสเต (Este)    ผู้ทรงอำนาจ แห่งนครเฟอร์ราร่า   ราชสำนักของลุโวิโค เป็นที่รวมของศิลปินทุกสาขา และหนึ่งในนั้นก็คือ เลโอนาร์โด ดาวินชี (Leonardo da Vinci)

                ตระกูลต่างๆเป็นตัวอย่างของ เศรษฐีใหม่   ซึ่งมีค่านิยมและแนวคิดแบบใหม่ พวกเขาจ่ายเงินเพื่ออุปถัมภ์ การเดินทางสำรวจ การจัดตั้งศูนย์กลางการศึกษา ส่งเสริมงานสาธารณประโยชน์  และนำสินค้าใหม่เข้ามา มีผู้คนเป็นอันมากเดินทางมาอิตาลีเพื่อการศึกษาแนวความคิดใหม่ๆ (ไทม์ สารานุกรม ประวัติศาสตร์โลก เล่ม่ที่5 สมัยฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ ค..1461-1600) หน้า 204-205 บริษัท ฟาร์อีสต์พับลิกชั่นจำกัด กรุงเทพ)

 

 




[1] รศ.ดร.จักรพันธุ์  วงษ์บูรณาวาทย์ , ความรู้เบื้องต้นทางรัฐศาสตร์ , (เชียงใหม่ : โครงการผู้หญิงไทยในวันพรุ่งนี้ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พิมพ์ครั้งที่ 5 ,2545 ) หน้า 63-67 .
 

1 ความคิดเห็น:

  1. สถาบันอุดมศึกษาบางแห่งเลิกใช้ The Prince ประกอบการสอน

    ตอบลบ